วันเสาร์ที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2556

ขนมไทยที่หาทานยากและควรรู้จัก


"ความเป็นมา"




ประวัติและความสำคัญของขนมไทย



                สมัยสุโขทัยขนมไทยมีที่มาคู่กับชนชาติไทย จากประวัติศาสตร์ที่ติดต่อค้าขายกับต่างประเทศ คือ 


จีนและอินเดียในสมัยสุโขทัย มีส่วนช่วยส่งเสริมการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ด้านอาหารการกินร่วมไปด้วย 

สมัยอยุธยา เริ่มมีการเจริญสัมพันธ์ไมตรีกับต่างประเทศทั้งชาติตะวันออกและตะวันตก ไทยเรายิ่งรับเอาวัฒนธรรมด้านอาหารของชาติต่างๆ มาดัดแปลงให้เหมาะสมกับสภาพความเป็นอยู่ เครื่องมือเครื่องใช้ วัตถุดิบที่หาได้ ตลอดจนนิสัยการบริโภคของคนไทยเอง จนบางทีคนรุ่นหลังแทบจะแยกไม่ออกเลยว่า อะไรคือขนมไทยแท้ๆ อะไรที่เรายืมเค้ามา เช่น ทองหยิบ ทองหยอดและฝอยทอง




หลายท่านอาจคิดว่าเป็นของไทยแท้ๆ แต่ความจริงแล้วมีต้นกำเนิดจากประเทศโปรตุเกส โดย "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" "ท้าวทองกีบม้า"หรือ "มารี กีมาร์" เกิดเมื่อ พ.ศ. 2201 หรือ พ.ศ. 2202 แต่บางแห่งก็ว่า พ.ศ. 2209 โดยยึดหลักจากการแต่งงานของเธอที่มีขึ้นในปี พ.ศ. 2225 และขณะนั้น มารี กีมาร์ มีอายุเพียง 16 ปี บิดาชื่อ "ฟานิก (Phanick)" เป็นลูกครึ่งญี่ปุ่นผสมแขกเบงกอล ผู้เคร่งศาสนา ส่วนมารดาชื่อ "อุรสุลา ยามาดา (Ursula Yamada)" ซึ่งมีเชื่อสายญี่ปุ่นผสมโปรตุเกส ที่อพยพมาตั้งถิ่นฐานในอยุธยา ภายหลังจากพวกซามูไรชุดแรกจะเข้ามาเป็นทหารอาสา ในแผ่นดินพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราชไม่นานนัก ชีวิตช่วงหนึ่งของ "ท้าวทองกีบม้า" ได้เข้าไปรับราชการในพระราชวังตำแหน่ง "หัวหน้าห้องเครื่องต้น" ดูแลเครื่องเงินเครื่องทองของหลวง เป็นหัวหน้าเก็บพระภูษาฉลองพระองค์ และเก็บผลไม้ของเสวย มีพนักงานอยู่ใต้บังคับบัญชาเป็นหญิงล้วน จำนวน 2,000 คน ซึ่งเธอก็ทำงานด้วยความซื่อสัตย์สุจริต เป็นที่ชื่นชม ยกย่อง มีเงินคืนทองพระคลังปีละมากๆ ระหว่างที่รับราชการนี่เอง มารี กีมาร์ ได้สอนการทำขนมหวานจำพวก ทองหยอด ทองหยิบ ฝอยทอง ทองพลุ ทองโปร่ง ขนมผิงและอื่นๆ ให้แก่ผู้ทำงานอยู่กับเธอและสาวๆ เหล่านั้น ได้นำมาถ่ายทอดต่อมายังแต่ละครอบครัวกระจายไปในหมู่คนไทยมาจนปัจจุบันนี้ ถึงแม้ว่า "มารี กีมาร์" หรือ "ท้าวทองกีบม้า" จะมีชาติกำเนิดเป็นชาวต่างชาติ แต่เธอก็เกิด เติบโต มีชีวิตอยูในเมืองไทยจวบจนหมดสิ้นอายุขัย นอกจากนั้น ยังได้ทิ้งสิ่งที่เธอค้นคิดให้เป็นมรดกตกทอดมาสู่คนรุ่นหลัง ได้กล่าวขวัญถึงด้วยความภาคภูมิ "ท้าวทองกีบม้า เจ้าตำรับอาหารไทย"















อ้างอิง
http://www.thaigoodview.com/library/studentshow/2549/m6-4/no16-20-34/kanomthai/sec02p03.html

ขนมลูกชุบ



"ขนมลูกชุบ"






 อุปกรณ์
        - เครื่องปั่น กระทะทองเหลือง

    วัตถุดิบ
        1. ถั่วเขียวซีกเลาะเปลือกนึ่งสุก 150 ก. (แช่น้ำ 1 คืน)
        2. สีผสมอาหารสีแดง 1 ช้อนโต๊ะ
        3. สีผสมอาหารสีเขียว 1 ช้อนโต๊ะ
        4. สีผสมอาหารสีส้ม 1 ช้อนโต๊ะ
        5. น้ำตาลทราย 130 ก.
        6. ผงวุ้น 25 ก.
        7. น้ำเปล่า 1 ลิตร
        8. กะทิ 250 มล.
        9. กลิ่นมะลิ 1/2 ช้อนชา
        10. ใบของต้นแก้ว 1/2 ถ้วย
    * ส่วนผสมสำหรับ 40 ชิ้น

    เวลาในการทำประมาณ 90 นาที
วิธีการทำ
    1. นำถั่วนิ่มสุก กะทิ น้ำตาลทราย ปั่นรวมกันจนละเอียด จากนั้นนำไปกวนในกระทะทองเหลืองด้วยไฟอ่อน จนส่วนผสมเริ่มแห้ง                      พักไว้ให้เย็น
    2. ปั้นให้เป็นรูปทรงผลไม้ตามชอบ จากนั้นทาสีให้สวยงาม พักไว้ 10 นาทีเพื่อให้สีแห้ง
    3. ผสมผงวุ้น น้ำเปล่า คนให้เข้ากัน พักไว้ 5 นาที ให้ผงวุ้นดูดซึมน้ำให้เต็มที่ เปิดไฟแรงให้น้ำเดือด จากนั้นลดไฟลงอ่อนๆ
    4. นำขนมลูกชุบที่ระบายสีแล้วลงชุบในน้ำวุ้นเคลือบให้ทั่วขนม พักไว้ 5 นาที จากนั้นชุบวุ้นใหม่อีกครั้ง (ชุบ 3 รอบ)

    5. เมื่อขนมลูกชุบเคลือบวุ้นทั่วดีแล้ว ตกแต่งให้สวยงามด้วยใบของต้นแก้ว เป็นอันเสร็จ


      



    ลูกชุบ : ขนมลูกชุบเป็นขนมไทยที่มีสีสันและหน้าตาน่ารับประทาน นิยมปั้นเป็นรูปทรงผลไม้ต่างๆ 



อ้างอิง


 : http://www.youtube.com/embed/NE_oiK7PcqI

              http://www.foodtravel.tv/recfoodShow_Detail.aspx?viewId=887

ภาพ

photoscape

ขนมวุ้นแฟนซี



"ขนมวุ้นแฟนซี"





วุ้นแฟนซี







วุ้นแฟนซีเน้นสีสันที่น่ารับประทาน มีสีสันสดใสตัดกันเป็นชิ้นๆ 


เค็มปะแล่มจากส่วนของกะทิเข้ากันอย่างมากกับส่วนผสมที่



หวาน 



สูตรขนมวุ้นแฟนซี






เวลาในการทำ 40 นาที







ส่วนผสมสำหรับ 20 ถ้วยเล็ก






วัตถุดิบวุ้นแฟนซี




ส่วนหวาน



1. ผงวุ้น 8 ก.




2. น้ำเปล่า 750 มล.



3. น้ำตาลทราย 120 ก.





4. กลิ่นมะลิ 1/2 ชช.





5. สีผสมอาหารแบบน้ำ สีส้ม แดง เขียว อย่างละ ½ ชช.


ส่วนเค็ม



6. ผงวุ้น 3 ก.




7. กะทิ 250 มล.




8. เกลือ 1/2 ชช.




วิธีทำวุ้นแฟนซี

1. นำส่วนผสมส่วนเค็ม ได้แก่ ผงวุ้น กะทิ เกลือ ผสมให้เข้ากัน พัก


ไว้ 5 นาที และนำผงวุ้น น้ำเปล่า คนให้เข้ากันในหม้ออีกใบหนึ่ง พัก



ไว้ 5 นาที



2. ตั้งไฟอ่อนสำหรับส่วนกะทิ และเปิดไฟแรงสำหรับส่วนน้ำเปล่า 



(หมั่นคนเสมอทั้งสองหม้อ)



3. เมื่อส่วนกะทิเริ่มเดือด เติมเกลือลงไปและคนให้เข้ากัน ปิดแก็ส

และพักไว้ และเมื่อส่วนน้ำเปล่าเดือด ให้เติมน้ำตาลทราย กลิ่นมะลิ 

คนให้เข้ากัน พักไว้

4. เทส่วนกะทิใส่ชาม และแบ่งส่วนของน้ำเปล่าให้ได้ 3 ส่วน และ



ผสมสีถ้วยละสี นำถ้วยส่วนผสมทั้งหมดใส่ลงถาดที่รองด้วยน้ำร้อน



5. ตักกะทิใส่ถ้วยพิมพ์ และสลับสีในแต่ละชิ้นไปเรื่อยๆจนหมด ใน

การตักแต่ละชิ้นจะต้องพัก 5 นาที ในทุกชั้นเพื่อให้วุ้นแข็งตัว แช่เย็น

อย่างน้อย 1 ชม.ก่อนเสิร์ฟ

อ้างอิง



ภาพ

photoscape

ขนมเบื้อง



"ขนมเบื้อง"



      สูตรขนมหวานไทย : ขนมเบื้อง
     เครื่องปรุง + ส่วนผสม

  
ส่วนผสมตัวแป้ง 
* แป้งข้าวเจ้า 350 กรัม
* แป้งถั่วเขียว 200 กรัม
* แป้งสาลี 100 กรัม
* น้ำตาลปี๊บ 1/2 ถ้วยตวง
* น้ำปูนใส 2 ถ้วยตวง
* ไข่เป็ด (เฉพาะไข่แดง) 2 ฟอง

 ส่วนผสมน้ำตาลทาขนม 
* น้ำตาลปี๊บ 500 กรัม
* ไข่เป็ด (เฉพาะไข่ขาว) 20 ฟอง
 ส่วนผสมหน้าครีม 
* ไข่เป็ด (เฉพาะไข่ขาว) 3 ฟอง
* น้ำตาลทราย 1/2 ถ้วยตวง
* ครีมออฟทาร์ทาร์ 1/2 ช้อนชา




ส่วนผสมไส้    
 * ไส้หวาน : มะพร้าวขูดฝอยทองและงาขาว
 *
ไส้เค็ม : นำกุ้งสดไปผัดกับน้ำมัน จากนั้นปรุงรสด้วยพริกไทย, เกลือ, ต้นหอมซอย และผักชี



วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. เตรีมทำตัวแป้งโดยนำแป้งข้าวเจ้า, แป้งถั่วเขียวและแป้งสาลีไปร่อนรวมกัน แล้วจึงนำไปผสมกับน้ำปูนใส, น้ำตาลปี๊บและไข่แดง นวด(ขยำ) จนส่วนผสมเข้ากันดี แล้วจึงพักไว้
2. เตรียมทำน้ำตาลทาขนมเบื้อง โดยนำไข่ขาวและน้ำตาลปี๊บมาผสมกัน คนจนน้ำตาลละลายทั่วดี แล้วจึงพักไว้

อ้างอิง

ภาพ

photoscape



ขนมกล้วย



"ขนมกล้วย"




ส่วนประกอบ
                * กล้วยน้ำว้า 8 - 10 ลูก 
              (ปอกเปลือกและบดให้เละ)
              * แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วยตวง
            * แป้งมัน 1/4 ถ้วยตวง
               * น้ำตาล 1 1/4 ถ้วยตวง
             * เกลือป่น 1/2 ช้่อนชา
            * หัวกะทิ 1/2 ถ้วยตวง
                  * เนื้อมะพร้าวขูด 2 ถ้วยตวง


ขนมกล้วย (Steamed Banana Cake)
     วิธีทำทีละขั้นตอน
1. นำกล้วย, แป้งข้าวเจ้า, แป้งมัน, น้ำตาล, เกลือ, หัวกะทิ และ เนื้อมะพร้าวขูด (ประมาณ 3/4 ส่วนของทั้งหมด) ผสมกัน จากนั้นนวดด้วยมือจนเข้ากันเป็นเนื้อเดียว
2. ตักส่วนผสมในข้อหนึ่งลงในถ้วยหรือแบบที่ต้องการ หรือจะใช้ใบตองห่อก็ได้ แล้วแต่ความสะดวก เสร็จแล้วนำเนื้อมะพร้าวขูดที่เหลือโรยหน้า
3. นำไปนึ่งประมาณ 30 นาที หรืออาจนำไปอบโดยใช้ความร้อนประมาณ 180 องศาเซลเซียส (360 องศาฟาเรนไฮต์) เป็นเวลา 30 นาทีเช่นกัน
4. เมื่อขนมกล้วยสุกแล้ว ให้นำออกจากแบบ สามารถเสริฟได้ทั้งขณะร้อนหรือเย็นแล้ว


อ้างอิง


ภาพ

photoscape

ขนมจ่ามงกุฏ




"ขนมจ่ามงกุฏ"



ขนมจ่ามงกุฏ



ส่วนผสม



เม็ดแตงโมแกะแล้ว 1/2 ถ้วย

นํ้าตาลทราย 1/2 ถ้วย
นํ้าดอกมะลิ 1 ถ้วย

ทองคำ เปลวแท้ 2 แผ่น

แป้งสาลี 1 ถ้วย
ไข่แดงของไข่ไก่ 3 ฟอง

วิธีทำ

1. เชื่อมนํ้าตาล โดยใช้นํ้าตาลกับนํ้าดอกมะลิตั้งไฟให้เดือด กรอง

ด้วยผ้าขาวบาง แล้วตั้งไฟต่ออีก 5 นาที

2. ล้างขัดกะทะทองเหลืองให้สะอาดเป็นเงา ตะแคงข้างหนึ่ง คั่วเม็ด

แตงโม โดยใช้มือจุ่มลงในนํ้าเชื่อม แล้วกวาดไปมา จนน้ำ ตาลแห้ง

แล้ว ใช้มื่อจุม่ น้ำ เชื่อม ทำ เช่นนี้ต่อไปจน น้ำ ตาลเกาะเป็นหนามติด

เม็ดแตงโมพองาม เก็บใส่ภาชนะ อย่าให้อากาศเข้า

3. ระหว่างที่กวาดเม็ดแตงโมอยู่นั้น ต้องตะแคงกะทะและใช้ ผ้าขาว

บาง เช็ดกะทะให้สะอาดอยู่เสมอ

4. นวดแป้งกับไข่แดงจนนิ่มมือ ถ้ายังแห้งอยู่จึงเติมนํ้า แล้ว คลึงแป้ง

เป็นแผ่นบาง ๆ กดให้กลมขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 2 เซนติเมตร นำ 

แผ่นแป้งที่ตัดแล้ว ใส่ในถ้วยตะไลใช้มือ กดเบา ๆ ให้เป็นรูปก้นถ้วย

ตะไล ใช้ส้อมจิ้มให้ทั่วจึงเอาไป อบพอสุกกลายเป็นแป้งรองขนม

5. การทำ มงกุฏ ให้เอานํ้าตาลทรายใส่หม้อเล็ก ๆ ใส่นํ้านิด หน่อย ตั้ง

ไฟอ่อน ๆ พอนํ้าตาลละลายเอาเม็ดแตงโมที่ กวาดไว้แล้วลงจุ่มให้นํ้า

ตาลติดกับแป้งที่อบไว้รอบ ๆ

6. ปั้นทองเอกกลม ๆ วางตรงกลาง ใช้มีดปลายแหลมผ่าเป็น 6 พู 

เหมือนผลมะยม แล้วปั้นเป็นก้อนเล็ก ๆ เท่าเม็ดถั่วเขียว วางบนยอด

ขนมที่ผ่าไว้ใช้ทองคำ เปลวตัดเป็นสี่เหลี่ยมชิ้น เล็ก ๆแตะตรงยอด

มองเห็นเหมือนมงกุฏ

กลเม็ดเคล็ดลับ การทำแป้งรองขนมจ่ามงกุฏนั้นบางครั้งก็ต้องเติมนํ้า

และบาง ครั้ง ก็ไม่ต้องเติม ทั้งนี้ แล้วแต่นํ้าในไข่ที่ใช้นั่นเองทองคำ 

เปลว ต้องแน่ใจว่าเป็นของแท้ เพราะถ้าเป็นของปลอม จะเป็น

อันตรายมาก เนื่องจากสารตะกั่ว

อ้างอิง


ภาพ

photoscape

ขนมกลีบลำดวน



"ขนมกลีบลำดวน"








ส่วนประกอบ

* แป้งสาลี 100 กรัม

* น้ำมันพืช 50 กรัม (หรือเนยขาว)
* น้ำตาลไอซิ่ง 80 กรัม
* สีผสมอาหาร (แล้วแต่ชอบ)
* เทียนอบ


ขนมหวานไทย : ขนมกลีบลำดวน (ดอกลำดวน)
ขนมหวานไทย : ขนมกลีบลำดวน (ดอกลำดวน)
      วิธีทำขนมไทย ทีละขั้นตอน
1. ผสมแป้งสาลีกับน้ำตาลเข้าด้วยกัน นำไปร่อน 2 ครั้ง เสร็จแล้วใส่น้ำมันพืช (หรือเนยขาว) ลงไปผสม นวดจนส่วนผสมทั้งสามเข้ากันดี
2. ปั้นแป้งเป็นลูกกลมๆขนาดเท่าๆกัน ใช้มีดคมๆแบ่งแป้งเป็น 4 ส่วนเท่าๆกัน
3. จับวางเป็น 3 กลีบ ส่วนอีก 1 กลีบที่เหลือให้ปั้นเป็นลูกกลมๆวางตรงกลางกลีบทั้งสามเป็นเกสร ก็จะได้รูปทรงดอกไม้ ทำเช่นนี้จนแป้งหมด เรียงไว้ในถาด
4. นำแป้งไปอบที่อุณหภูมิประมาณ 300 องศาฟาเรนไฮต์ประมาณ 10 - 15 นาทีหรือจนสุก จะได้ขนมที่มีลักษณะผิวนวล กรอบ นำไปอบควันเทียนให้หอม ก็พร้อมรับประทานได้ทันที
หมายเหตุ : ถ้าต้องการกลีบหรือเกสรที่ต่างสีกัน ก็ให้แยกส่วนผสมแป้งในขั้นตอนที่หนึ่ง แล้วผสมสีตาม ที่ชอบขณะใส่น้ำมันพืชลงไปนวด ควรใช้สีโทนอ่อนจะน่ารับประทานมากกว่าสีเข้ม

อ้างอิง

ภาพ

photoscape

ขนมโพรงแสม



"ขนมโพรงแสม"




ขนมโพรงแสม
ขนมชนิดนี้ใช้ในพิธีแต่งงาน โดยแทนเสาบ้านเสาเรือน เพื่อให้คู่บ่าวสาวอยู่กันยั่งยืนและร่ำรวย ลักษณะคล้ายๆขนมทองม้วน แต่ขนมชนิดนี้จะมีความแตกต่างอยู่ตรงที่มีน้ำตาลเคลือบพันร้อยอยู่ที่ตัวขนม
       
เมื่อตัวขนมได้ถูกบดขยี้กับฟันและลิ้นที่สัมผัสรส จะให้ความรู้สึกกรุบกรอบน่ากัดกิน ผสมกับความหวานของน้ำตาลที่เคลือบขนมอย่างลงตัวไม่ที่ไม่หวานมากนัก ก็ยิ่งทำให้ขนมชนิดนี้เหมาะสำหรับการกินเล่น กับน้ำชาตอนบ่าย

ส่วนผสม
1.แป้งสาลี 1 ถ้วย
2.เนย 1 ช้อนโต๊ะ
3.ไข่แดง 1 ฟอง
4.น้ำตาลปึก 1 ถ้วย
5.กะทิเคี่ยวจนเป็นขี้โล้ 1-2 ช้อนโต๊ะ
6.น้ำมันสำหรับทอด 1 ขวดเล็ก
7.เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
8.น้ำดอกมะลิ 2 ช้อนโต๊ะ
9.ไม้ไผ่ยาว 5, 4, 3, นิ้วอย่างละ 2 อัน

วิธีทำ
1.ผสมแป้งสาลี เนย ไข่แดง เกลือป่น เข้าด้วยกันใส่ภาชนะ
2.ถ้ายังไม่นุ่มมือ จึงใส่น้ำ แบ่งแป้งเป็นก้อนกลม ๆ 3-4 ก้อน
3.คลึงแป้งให้หนาประมาณ 1/8 นิ้ว แล้วจึงพันไปรอบไม้ไผ่ (ต้องเหลือปลายไม้ไผ่ข้างละ 1 นิ้ว) ปิดรอยต่อให้เรียบ ตัดแป้งหัว-ท้าย ให้เรียบเสมอกัน
4.ทอดไฟอ่อน ให้ขนมมีสีเหลืองนวล ยกขึ้นพักไว้ให้สะเด็ดน้ำมัน ทำเช่นนี้จนหมด

วิธีทำน้ำตาล
1.น้ำตาลปีป 1 ถ้วย ผสมน้ำ 2 ช้อนโต๊ะ ตั้งไฟให้เป็นยางมะตูม หรือ
2.สังเกตดูน้ำตาล มีพรายน้ำเล็ก ๆ ทั่วกัน ยกกระทะลง ใช้ช้อนชาเล็ก ๆ
3.ตักน้ำตาลหยอดลงบนขนมที่ทำเสร็จแล้วให้เป็นลวดลายต่าง ๆ ให้สวยงาม

ลักษณะน้ำตาลที่ดี
คือหยอดแล้วต้องแห้งทันที ขนมจะกรอบเก็บไว้ได้นาน

อ้างอิง

http://fwmail.teenee.com/etc/img0/m79524.gif

http://food-recipes.vzazaa.com/2009/dessert-

snacks/%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B

8%B2%E0%B8%A3%E0%B8%A7%E0%B9%88%E0%B8%

B2%E0%B8%87-

%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%AB%

E0%B8%A7%E0%B8%B2%E0%B8%99/%E0%B8%AA%E0

%B8%B9%E0%B8%95%E0%B8%A3%E0%B8%82%E0%B

8%99%E0%B8%A1%E0%B9%82%E0%B8%9E%E0%B8%

A3%E0%B8%87%E0%B9%81%E0%B8%AA%E0%B8%A1/


ภาพ

photoscape